เมื่อวันที่17ต.ค. ณ อาคารที่ทำการการท่าเรือแห่งประเทศไทย(กทท.)นางมนพร เจริญศรี รมช.คมนาคม มอบนโยบายและเปิดสถาบันด้านการขนส่งทางน้ำและโลจิสติกส์ (Maritime Logistics Institue: MLI)ของ กทท. โดยมีนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. คณะผู้บริหาร พนักงาน กทท. และสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ กทท. ให้การต้อนรับ
นางมนพร เปิดเผยว่ามอบหมายให้ กทท. ดำเนินการตามกระบวนการจัดซื้อจัดจ้างในโครงการต่างๆ ด้วยความโปร่งใสและเป็นที่ยอมรับในสังคม พร้อมทั้งพัฒนาต่อยอดระบบโลจิสติกส์ ด้วยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงปัญญาประดิษฐ์ (AI)มาประยุกต์ใช้ เพื่อลดขั้นตอนการทำงาน ให้มีความรวดเร็ว และแม่นยำ รวมถึงช่วยประหยัดงบประมาณในด้านบุคลากร ก้าวสู่การเป็นท่าเรืออัตโนมัติ (Smart Port)อีกทั้งให้มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายท่าเรือสีเขียว (Green Port)เชื่อมต่อการขนส่งสินค้าทางบก ทางน้ำ ทางราง และทางอากาศอย่างไร้รอยต่อ
นอกจากนี้ สั่งให้ กทท. พิจารณาการพัฒนาท่าเทียบเรือท่องเที่ยว (Cruise Terminal)บริเวณตึกOBท่าเรือกรุงเทพ (ทกท.) รองรับเรือสำราญขนาดกลาง และขนาดใหญ่ และรองรับผู้โดยสารกว่า 6,000 คน โดยการก่อสร้างที่พักคอย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อตอบรับความต้องการในการท่องเที่ยวทางน้ำมากขึ้น สะท้อนให้เห็นจากในปัจจุบันเรือสำราญขนาดใหญ่(ครุยส์)ได้จอดเทียบท่าที่ท่าเรือแหลมฉบังเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว หรือจาก 30 ลำ เพิ่มขึ้นเป็น 60 ลำ
นางมนพร กล่าวต่อว่า ส่วนท่าเรือกรุงเทพ เรือครุยส์ล่องผ่านร่องน้ำเจ้าพระยา เริ่มกลับมาในปี 66 แล้ว 1-2 ลำ จากช่วงก่อนโควิด-19 ประมาณปี 62 มีประมาณ 10 กว่าลำ ปัจจุบันรองรับผู้โดยสาร 1,000-2,000 คัน ดังนั้น กทท. ต้องเตรียมความพร้อม ประสานกับหน่วยงานด้านการท่องเที่ยว เช่น สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.),กรมศุลกากร เป็นต้น เพื่อรองรับ และเพิ่มทางเลือกให้แก่นักท่องเที่ยว เชื่อมต่อการขนส่งทางน้ำกับทางถนนเข้าเมืองในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) หรือการท่องเที่ยวแบบวันเดย์ทริป (One Day Trip)คาดจะมีความชัดเจนภายในปี 67
ทั้งนี้ ผลักดันโครงการพัฒนาเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพและทางพิเศษสายบางนา-อาจณรงค์ (S1) ระยะทาง 2.25 กิโลเมตร (กม.) วงเงินประมาณ 4,000ล้านบาท แบ่งเป็น กทท. ลงทุน 2,000ล้านบาท และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) ประมาณ 2,000ล้านบาท คาดเริ่มก่อสร้างในปีงบประมาณ 67 ลดผลกระทบปัญหาจราจรระหว่างท่าเรือกรุงเทพกับการจราจรบนท้องถนนในเขต กทม. และปริมณฑลคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ด้านนายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการ กทท. กล่าวว่า โครงการเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพ-S1 ผ่านการศึกษาความเหมาะสมทางด้านวิศวกรรม เศรษฐกิจ การเงิน และผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และผ่านการอนุมัติจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างการจัดทำร่างเอกสารประกวดราคา (ทีโออาร์) ก่อนที่ กทพ. เป็นผู้ดำเนินการจัดการประมูล คาดเปิดประมูลช่วงเดือน ม.ค.-มี.ค. 67 เริ่มก่อสร้างในปี 67 แล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการปี 70 ขณะเดียวกัน กทท. ยังอยู่ระหว่างการเจรจากับชุมชนท่าเรือคลองเตย จำนวน 101 ครอบครัว ที่ได้รับผลกระทบจากโครงการเส้นทางเชื่อมต่อท่าเรือกรุงเทพ-S1 เพื่อเสนอทางเลือกตามโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ หรือ สมาร์ทคอมมูนิตี้(Smart Community)ก่อนหน้านี้มีการเจรจาไว้ 3 แนวทางเลือก คือ 1.ให้ย้ายไปอาศัยในอาคารที่ กทท. เตรียมสร้างในรูปแบบคอนโดฯ 2.ย้ายไปอยู่บริเวณที่ดินย่านหนองจอก และ 3.การให้เงินชดเชย โดยคาดได้ข้อสรุปภายในปี 66
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 กทท. ส่งมอบงานก่อสร้างงานทางทะเลในส่วนของงานพื้นที่ถมทะเล 1 (Key Date1),พื้นที่ถมทะเล 2 (Key Date2) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนพื้นที่ถมทะเล 3 (Key Date3) คาดส่งมอบพื้นที่ท่าเทียบเรือFขนาด 1,000 เมตร ให้บริษัท จีพีซี อินเตอร์เนชั่นแนล เทอร์มินอล จำกัด (GPC)เอกชนคู่สัญญาได้ภายในกลางปี 67
ส่วนที่ 2 งานจ้างเหมา ก่อสร้างโครงการฯ ได้แก่ งานก่อสร้างอาคาร ท่าเทียบเรือ ระบบถนน และระบบสาธารณูปโภค วงเงินประมาณ7,000ล้านบาท อยู่ในขั้นตอนจำหน่ายเอกสารการประกวดราคา ครั้งที่ 2 ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 15 ธ.ค. 66 หลังจากครั้งที่ 1 มีผู้ยื่นเสนอเอกสารการประมูลรายเดียว ในส่วนงานที่ 3 งานก่อสร้างระบบรถไฟ และส่วนงานที่ 4 งานติดตั้งเครื่องจักรและระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนการออกแบบ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน คาดว่า จะเปิดประมูลได้ในปี 67
นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ส่วนผลการดำเนินงานในปี 66 ของ กทท. มีรายได้ 1.5-1.6 หมื่นล้านบาท มีผลกำไร 6,890 ล้านบาท ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในรอบ 72 ปีนับตั้งแต่เปิดการดำเนินการ และตั้งเป้าหมายในปี 67 จะมีกำไรอยู่ที่ 7,000 ล้านบาท ส่วนผลการดำเนินงานให้บริการเรือ สินค้า และตู้สินค้าผ่านท่าเรือในปี 66 นั้น ท่าเรือกรุงเทพ มีตู้สินค้าผ่านท่า 1.2-1.3 ล้าน ที.อี.ยู. ขณะที่ ท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) มีตู้สินค้าผ่านท่า 8.5 ล้าน ที.อี.ยู.